10 กฎเหล็กที่กรมที่ดินเคร่งครัด เมื่อซื้อขายอสังหาฯ ในนามบริษัท

การซื้ออสังหาริมทรัพย์ในนามบริษัทที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติ (ต่างชาติ 49% และไทย 51%) อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเจตนาและสถานะของบริษัทอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้:

การตรวจสอบสถานะและฐานะการเงินของบริษัท

1.การประกอบกิจการจริง: เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่า บริษัทมีการประกอบกิจการจริง หรือไม่ (ไม่ใช่บริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อถือครองอสังหาฯ เท่านั้น)

2.ความถูกต้องของการเข้าถือหุ้น: ตรวจสอบว่า ไม่ใช่การสวมบริษัทเข้ามาทีหลัง หรือมีการจัดตั้งบริษัทอย่างไม่โปร่งใส

3.การตรวจสอบงบดุลและที่มาการเงิน:เรียกตรวจสอบ งบดุลของบริษัท

ตรวจสอบ ที่มาทางการเงินของกรรมการทุกคน

4.ทุนจดทะเบียนที่สอดคล้องกับทรัพย์สิน:ทุนจดทะเบียน หรือมูลค่าทรัพย์สินในบริษัท จะต้องใกล้เคียงกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ เพื่อแสดงความสามารถทางการเงินที่แท้จริง

ข้อกำหนดด้านเอกสารและการทำธุรกรรม

5.สอบปากคำผู้ถือหุ้นไทย: เจ้าหน้าที่จะเรียก สอบปากคำกับผู้ถือหุ้นชาวไทย เพื่อยืนยันเจตนาและความเป็นเจ้าของที่แท้จริง

6.ห้ามมอบอำนาจเด็ดขาดในวันโอน: ผู้ถือหุ้นทุกคนต้องมาด้วยตนเองในวันโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อยืนยันตัวตนและความยินยอมในการทำธุรกรรม

7.การตั้งชื่อบริษัท: ชื่อบริษัทต้อง ไม่ชี้ไปทางชื่อประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป (เช่น บริษัท หวังเฉา หม่าฮั่น จำกัด)

บทลงโทษและการเฝ้าระวังหลังการโอน

8.การตรวจสอบหลังโอนและการยึดทรัพย์: หากมีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นในทางมิชอบ หรือ ผู้ถือหุ้นคนไทยย้ายออก ทรัพย์สินนั้นจะถูก “Hold” (ระงับ) ไว้เพื่อตรวจสอบ และหากพบว่าไม่โปร่งใส จะถูกยึดทันที

9.การงดรับธุรกรรมเฉพาะเขต: สำนักงานกรมที่ดินบางเขตอาจไม่รับทำธุรกรรมแบบบริษัทเลย ในช่วงนี้ เนื่องจากความเข้มงวดในการตรวจสอบ

10.ความรับผิดชอบของเอเจนต์: เอเจนต์ผู้ชี้ช่อง ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม หากเคสใดกลายเป็นประเด็นปัญหา จะถูกเรียกตรวจสอบด้วย